วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แบบจำลองอะตอมของทอมสัน

นักเรียนเคยทราบมาแล้วว่าของแข็งบางชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง เงิน นำไฟฟ้าได้ สารละลายโซเดียมคลอไรด์ สารละลายกรดไฮโดรคลอริกซึ่งเป็นของเหลวก็สามารถนำไฟฟ้าได้นักเรียนคิดว่า แล้วสารในสถานะก๊าซนำไฟฟ้าได้หรือไม่
โดยทั่วไป ก๊าซที่ความดันปกติและอยู่ภายใต้ความต่างศักย์ระหว่างขั้วไฟฟ้า ขนาด 220 โวลต์ จะไม่นำไฟฟ้า แต่ในบางโอกาส(ความดันต่ำ และให้ความต่างศักย์ระหว่างขั้วไฟฟ้าสูงๆ) ก๊าซสามารถนำไฟฟ้าได้ ซึ่งจะเห็นได้จากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น การเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า
Sir William Crookes ได้สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการนำไฟฟ้าของก๊าซขึ้น เรียกว่าหลอดรังสีแคโทด ซึ่งทำด้วยหลอดแก้ว มีแผ่นโลหะ 2 แผ่น เรียกว่า อิเล็กโตรด (Electrode) ซึ่งต่อเข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าศักย์สูง ภายในหลอดบรรจุก๊าซโดยทำให้มีความดันต่ำ ปลายด้านหนึ่งต่อเข้ากับขั้วบวกของสนามไฟฟ้า เรียกว่าแผ่นแอโนด (Anode) ปลายอีกด้านหนึ่งต่อเข้ากับขั้วลบของสนามไฟฟ้า เรียกว่าแผ่นแคโทด (Cathode) เมื่อต่อขั้วไฟฟ้าให้ครบวงจรแล้ว เราสามารถตรวจว่ามีกระแสครบวงจร แม้จะมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตาม

G.J. Stoney เป็นผู้แรกที่กล่าวถึงอนุภาคไฟฟ้าในสารโดยอธิบายลักษณะของประจุไฟฟ้าว่าเป็นอนุภาคไฟฟ้าเล็กๆ และอนุภาคเหล่านี้อยู่ร่วมกันกับอะตอม เขาจึงให้ชื่อว่าอิเล็กตรอน แต่ก็เป็นเพียงกล่าวถึงอิเล็กตรอนเท่านั้นยังไม่กล่าวถึงรายละเอียดมาก ค.ศ. 1897 เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน (J.J. Thompson) ได้ทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของก๊าซโดยใช้หลอดรังสีแคโทด ด้วยวิธีการดังนี้ 1. บรรจุก๊าซชนิดหนึ่งไว้ในหลอดรังสีแคโทดซึ่งต่อกับเครื่องสูบเอาอากาศออกเพื่อให้ภายในมีความดันต่ำ ต่อขั้วทั้งสองเข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าศักย์สูง ที่แผ่นอาโนดเจาะรูตรงกลาง มีแผ่นฉากเรืองแสงซึ่งเคลือบด้วย ZnS ( ซิงค์ซัลไฟด์ ) วางที่ปลายหลอด เมื่อครบวงจรจะปรากฏเห็นจุดสว่างบนฉากเรืองแสง
- เมื่อทอมสันได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนั้นจึงคิดว่า รังสีที่พุ่งมาเป็นเส้นตรงจากแผ่นแคโทดมายังแผ่นแอโนดแล้วไปกระทบฉากเรืองแสงนั้นเป็นรังสีชนิดใด เขาได้ทดลองโดยเอาสนามไฟฟ้ามาต่อระหว่างหลอดรังสีแคโทด และได้พบว่ารังสีนี้เบนเข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า แสดงว่ารังสีนี้ต้องมีประจุลบอย่างแน่นอนเรียกรังสีชนิดนี้ว่า รังสีแคโทด (Cathode ray)

- ต่อมาทอมสันได้ทดลองบรรจุก๊าซชนิดอื่นๆ เข้าในหลอดรังสีรวมทั้งเปลี่ยนชนิดของโลหะที่ใช้เป็นแคโทด ก็ยังพบว่าจะได้รังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบมาตกที่ฉากเรืองแสงเสมอ นอกจากนี้เขายังสามารถคำนวนหาอัตราส่วนของประจุต่อมวลของอิเล็กตรอนว่ามีค่าคงที่
ของอิเล็กตรอน คูลอมบ์ต่อกรัม

จากผลการทดลองอันนี้ทำให้ทอมสันคิดว่าอะตอมของธาตุทุกชนิดต้องมีอนุภาคที่มีประจุลบและเรียกว่า อิเล็กตรอน
นอกจากนี้ ออยเกน โกลด์ชไตน์ (E.Goldstein) ก็ยังเชื่อว่าภายในอะตอมจะต้องมีอนุภาคที่มีประจุบวกเพราะว่าอะตอมโดยทั่วไปจะเป็นกลางทางไฟฟ้า ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. เขาได้ทดลองโดยดัดแปลงหลอดรังสีแคโทดด้วยการเจาะรูที่แผ่นแคโทด และเพิ่มฉากเรืองแสงด้านแคโทด พบว่ามีการเรืองแสงขึ้น และเมื่อทดสอบรังสีโดยใช้สนามไฟฟ้าเช่นเดียวกัน จะเห็นรังสีนี้เบนเข้าหาขั้วลบ แสดงว่ารังสีนี้ต้องมีประจุบวกจึงให้ชื่อว่า รังสีคาแนล (Canal ray) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นรังสีบวก (positive ray)

2. เมื่อเขาทดลองกับก๊าซหลายชนิด พบว่า จะได้ผลเช่นเดียวกันคือ รังสีนั้นจะเบนเข้าหาขั้วลบของสนามไฟฟ้า แต่จะมีอัตราส่วนของประจุต่อมวลของอนุภาคบวกไม่คงที่ ( ไม่คงที่ ) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซที่บรรจุภายใน และเมื่อเขาใช้ก๊าซโฮโดรเจนทดลอง จะได้อนุภาคบวกที่มีประจุเท่ากับอิเล็กตรอน จึงตั้งชื่อว่า โปรตอน (Proton)

จากการทดลองของทอมสันและโกลด์ชไตน์ ทำให้สรุปได้ว่า “ อะตอมมีลักษณะเป็นทรงกลม ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวก ( โปรตอน ) และอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ (อิเล็กตรอน) กระจายอยู่ทั่วไป อะตอมในสภาพที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีประจุบวกเท่ากับประจุลบ"


โครงสร้างอะตอม



แบบจำลองอะตอมของดอลตัน



ปรากฏเป็นหลักฐานว่า นักปราชญ์กรีกชื่อ เดโมคริตุส ( Democritus ) ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงสร้างของสสารไว้เป็นครั้ง แรกเมื่อราว 400ปีก่อนค.ศ. เขากล่าวว่า สสารทุกชนิดประกอบด้วยอนุภาค ทั้งนี้เพราะเขาได้ลองทุบเกลือเม็ดให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆได้ และเขาเกิดความคิดว่า ถ้าเขาทุบเศษเกลือชิ้นเล็กๆเหล่านั้นให้แตกออกไปอีก ก็คงจะได้เศษเกลือชิ้นเล็กลงไปอีก ดังนี้เรื่อยๆไปจนถึงชิ้นที่เล็กที่สุด ซึ่งไม่สามารถจะทุบให้แตกออกไปอีกได้ เขาเรียกชิ้นของสสารที่เล็กที่สุดนี้ว่า อะตอม ( Atom ) แต่เดโมคริตุสไม่เคยทดสอบความคิดเห็นอันนี้และไม่ได้พยายามทดสอบด้วยจนกระทั่งถึงต้นคริสตวรรษที่ 18 คือ ปี ค.ศ. 1804นักวิทยาศาสตร์ในประเทศอังกฤษ คือ จอห์น ดอลตัน ( John Dalton ) ได้ทำการทดลองเคมีหลายอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องก๊าซ เขาเป็นคนแรกที่เชื่อว่า ถ้าได้ศึกษาจนทราบธรรมชาติและสมบัติของอะตอมแล้ว จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์เคมี และกฎต่างๆ ได้มากมาย เขาพยายามหาเหตุผลว่าทำไมผลการทดลองจึงปรากฏออกมาเช่นนั้น ในที่สุดก็คิดว่า น่าจะเป็นเพราะอนุภาคของก๊าซ ต่างๆมีที่ว่างระหว่างมันอยู่ จงทำให้ก๊าซต่างๆในอากาศผสมกันจนเป็นเนื้อเดียวกันได้ เมื่ออากาศละลายลงไปในน้ำและมองไม่เห็น อากาศแยกตัวอยู่ก็คงด้วยเหตุผลเดียวกน คืออนุภาคของอากาศเข้าไปแทรกแซงอยู่ระหว่างอนุภาคของน้ำ และการที่ก๊าซต่างๆชนิดละลายน้ำจำนวนจำกันเฉพาะตัวก็เพราะการละลายได้มาน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนัก และจำนวนของอนุภาคของก๊าซนั้นๆ ซึ่งมีข้อความสำคัญสรุปได้ดังนี้

- สารประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กเรียกว่าอะตอม แบ่งแยกไม่ได้และสร้างขึ้นหรือทำลายให้สูญหายไปไม่ได้

- อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมีมวลเท่ากัน มีสมบัติเหมือนกัน แต่จะแตกต่างจากอะตอมของธาตุอื่น

- สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของอะตอมของธาตุตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป มีอัตราส่วนการรวมตัวเป็นตัวเลขอย่างง่าย

- อะตอมของธาตุสองชนิดอาจรวมตัวกันด้วยอัตราส่วนต่างๆ กัน เกิดเป็นสารประกอบได้หลายชนิด

ต่อจากสมัยของดอลตันได้มีการทดลองที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอะตอมเพิ่มมากขึ้นและมีบางเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของดอลตันเช่น พบว่าอะตอมประกอบด้วยอนุภาคย่อยๆ และอะตอมของธาตุชนิดเดียวกันก็มีมวลแตกต่างกันได้ นอกจากนี้ยังมีบางเรื่องที่ใช้แนวคิดของ ดอลตันอธิบายไม่ได้ เช่น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลอดรังสีแคโทด ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์คนต่อๆ มาจึงได้พยายามค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อสร้างแบบจำลองอะตอมขึ้นใหม่ เราจะศึกษาต่อไปว่านักวิทยาศาสตร์สร้างแบบจำลองของอะตอมไว้อย่างไรบ้าง เพราะเหตุใดแบบจำลองของอะตอม จึงมีผู้เสนอไว้หลายแบบ

รูป แบบจำลองของดอลตัน